วิธีการเลี้ยงกระต่าย
วิธีการเลี้ยงกระต่ายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับการเลี้ยงและพัฒนาพันธุ์กระต่าย ถ้าเราอยากให้กระต่ายของเราสมบูรณ์ แข็งแรง น่ารัก เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับธรรมชาติของกระต่ายเสียก่อน ว่าเค้าชอบอะไรไม่ชอบอะไร อะไรทานได้ อะไรทานไม่ได้ เราถึงจะได้ดูแลเค้าได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อาหารสำเร็จรูป หญ้า ผัก ผลไม้และน้ำ รวมถึงวิธีการให้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้เลี้ยงจะต้องรู้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้กระต่ายมีความสุขและมีสุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์
น้ำเป็นโภชนาการที่สำคัญที่สุด น้ำที่สะอาด และเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เลี้ยงจะละเลยไม่ได้ ถ้าหากกระต่ายขาดน้ำกระต่ายจะไม่ยอมทานอาหารอะไรเลย จึงแนะนำว่าควรเปลี่ยนน้ำเช้า-เย็น นอกจากนี้อาทิตย์หนึ่งๆ ควรมีสักวันหยดวิตามินรวม น้ำสีแดงๆ ให้กระต่ายสัก 2-3 หยด ต่อน้ำครึ่งลิตร เพื่อให้กระต่ายได้รับวิตามินบางตัวที่ไม่มีในอาหาร เช่นวิตามินบี ซีและเค การผสมวิตามินลงในน้ำสามารถช่วยลดอาการเครียดและเป็นผลดีต่อกระต่ายแม่พันธุ์ที่ผสมติดต่อกันหลายครอก น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระต่ายและโดยเฉพาะในกระต่ายขน น้ำจะช่วยให้ขนกระต่ายมีคุณภาพที่ดี จำไว้ว่าลิ้นของกระต่ายค่อนข้างไวต่อรสชาติของน้ำที่เปลี่ยนไป และในบางครั้งเค้าอาจจะไม่ยอมดื่มน้ำที่แปลกกว่าที่เคยทาน แม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาอันสั้น ที่กระต่ายขาดหรือไม่ยอมทานน้ำ แต่สิ่งนี้อาจจะส่งผลให้เกิดเมตาโบลิซึมของการสร้างขนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจจะทำให้ขนกระต่ายพันกันได้

อาหารเม็ดสำเร็จรูปที่มีสารอาหารครบถ้วนและสัดส่วนพอเหมาะ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพของกระต่าย กระต่ายทั่วไปมีความต้องการโปรตีน 14-17 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 2-4 เปอร์เซ็นต์ และไฟเบอร์อย่างน้อย 16 เปอร์เซ็นต์ โดยทั่วไปอาหารเม็ดสำเร็จรูปตามท้องตลาดมักจะมีอัตราส่วนอย่างพอเหมาะอยู่แล้ว และยังมีสารอาหารอื่นๆที่จำเป็นเช่น วิตามินและเกลือแร่ แต่ผู้เลี้ยงสามารถผสมหรือให้ผักผลไม้อื่นๆเพิ่มเติมอีกได้ โดยสามารถให้อาหารกระต่ายทุก 12 ชั่วโมง แต่เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน ฉะนั้นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการให้อาหารคือในช่วงเช้าตรู่และตอนหัวค่ำ กระต่ายเล็กอายุน้อยกว่า 3 เดือนควรจะได้รับอาหารเม็ดอย่างพอเพียง อาหารเม็ดใหม่ๆและเปลี่ยนทุกวัน เช้าเย็น ควรจะมีไว้ตลอดอย่าให้ขาด เมื่อกระต่ายอายุมากขึ้น การจำกัดอาหารตามปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะปัญหาหลักของการให้อาหารกระต่ายก็คือการให้อาหารมากเกินไป ถ้าเราให้อาหารเค้ามากเกินไป กระต่ายจะอ้วนและไม่แข็งแรง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับการผสมพันธุ์ติดยาก เพราะฉะนั้น แม้ว่ากระต่ายจะทานอาหารทั้งหมดที่ท่านให้ แต่ก็ต้องจำกัดอาหารอย่างเคร่งครัด สูตรง่ายๆของการให้อาหารเม็ด คือ ให้อาหาร 50 กรัมต่อน้ำหนักกระต่าย 1 กิโลกรัม ต่อวัน


  • กระต่ายขนาดเล็กเล็ก เช่น โปลิช และดัทช์ ให้ทาน 40 กรัมต่อมื้อ


  • กระต่ายหูตกพันธุ์เล็ก เช่น ฮอลแลนด์ลอป และอเมริกันฟัซซี่ลอป ให้ทาน 40 กรัมต่อมื้อ


  • กระต่ายแคระ สายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ดวอฟ ให้ทาน 35 กรัมต่อมื้อ 


  • หญ้าขนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการควบคุมโภชนาการของกระต่าย เพราะหญ้าขนเป็นแหล่งไฟเบอร์อย่างดี ซึ่งช่วยให้กระต่ายมีระบบการย่อยอาหารที่สมบูรณ์ ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงควรมีหญ้าขนที่สดและสะอาดไว้ในกรงตลอดเวลา หญ้าขนที่นำมาให้กระต่ายทานควรจะทำความสะอาดเสียก่อน โดยการแช่น้ำผสมด่างทับทิมไว้อย่างน้อย 30 นาที ถ้าไปเก็บมาจากสถานที่ที่เสี่ยงต่อการมียาฆ่าแมลงตกค้างก็ควรจะเลี่ยงหรือแช่ให้นานกว่านั้น เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ที่ไวต่อสิ่งมีพิษและอาจจะตายได้ในทันที นอกจากนี้หญ้าขนยังจำเป็นสำหรับกระต่ายพันธุ์ขน เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันอาการขนพันกันแล้ว หญ้าขนยังมีส่วนช่วยในการงอกใหม่ของขนอีกด้วย

    หญ้าขนให้ได้ อัลฟัลฟ่าและฟางไม่สมควรให้ อัลฟัลฟ่าเป็นหญ้าชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอม และกระตุ้นการกินอาหารของกระต่าย แต่ไม่ควรให้มากหรือบ่อยเกินไป เพราะอัลฟัลฟ่ามีโปรตีนสูง ซึ่งจะมีผลต่อไตของกระต่าย อาจะทำให้เกิดอาการไตวายเฉียบพลัน โดยเฉพาะกระต่ายพันธุ์เล็ก โปรตีนที่มากเกินไปจะมีผลเสียต่อไตและอวัยวะภายในอื่นๆ กระต่ายที่ได้รับโปรตีนสูงเกินไป อาจจะมีอาการชักกระตุก หายใจถี่ น้ำมูกไหล และตายอย่างเฉียบพลันในที่สุด ฟางก็ไม่สมควรให้เป็นอาหารกระต่าย เพราะไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใดๆ

    ผลไม้ กระต่ายสามารถทานผลไม้ได้บางชนิดเท่านั้น เช่น แอ็บเปิ้ล กล้วยน้ำว้า มะละกอ ฝรั่ง ส้ม แครอท สับปะรด สำหรับผลไม้ที่มีน้ำเยอะ เช่น แตงโม แตงกวา ไม่สมควรให้เพราะอาจจะทำให้กระต่ายท้องเสียได้ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าเหมาะสมสำหรับกระต่ายเล็กที่เพิ่งเริ่มหัดทานอาหารอื่น นอกจากนมแม่ อายุตั้งแต่ 3 สัปดาห์ขึ้นไป เพราะว่ากล้วยน้ำว้ามีโปรตีน แคลเซียมและสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อพัฒนาการของกระต่ายเด็ก มะละกอเป็นผลไม้ที่มีความจำเป็นสำหรับกระต่ายมาก เพราะว่าช่วยป้องกัน อาการเกิดก้อนขนไปอุดทางเดินอาหาร (Hair Ball) มะละกออบแห้ง เพียงชิ้นเล็กๆ ต่อวัน เป็นสิ่งที่พึงกระทำเป็นกิจวัตร นอกจากนี้ น้ำสับปะรดยังช่วยบรรเทาอาการเกิดก้อนขน ด้วยเช่นกัน

    สำหรับผักที่เหมาะสำหรับกระต่าย มีหลายอย่างเช่น ใบกะเพรา (ป้องกันกระต่ายท้องอืด) ผักกาดหอม ถัวฝักยาว และผักบุ้งไทย ส่วนผักบุ้งจีนไม่สมควรให้เพราะว่ามียางเยอะ ซึ่งอาจจะทำให้กระต่ายท้องเสียได้ มีข้อสังเกตง่ายๆ ผักสีเขียวเข้มทานได้ ผักสีเขียวอ่อนควรหลีกเลี่ยง

    อาหารเสริม เช่น ข้าวโอ๊ต เมล็ดทานตะวัน (ช่วยบำรุงขน) โดยเฉพาะข้าวเปลือก ซึ่งมีวิตามินบี เพื่อช่วยให้พ่อพันธุ์สมบูรณ์พันธุ์ก่อนผสม

    สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ภาชนะที่ใส่อาหาร เช่น ภาชนะดินเผา กระเบื้องเคลือบหรือกล่องใส่อาหารอัตโนมัติ และกระบอกน้ำหรือถังจ่ายน้ำอัตโนมัติ ควรจะดูแลเรื่องความสะอาดอย่างดีและพิเศษที่สุด ภาชนะควรทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละสองสามครั้ง เพื่อล้างคราบสกปรกเช่นปัสสาวะและอุจจาระที่อาจจะกระเด็นหรือตกค้างอยู่ โดยส่วนตัวอยากแนะนำให้ใช้ภาชนะที่ทำความสะอาดและแห้งได้ง่าย เพื่อลดโอกาสที่กระต่ายจะเกิดอาการท้องเสีย จากเชื้อรากรณีที่ภาชนะไม่แห้งสนิทได้ นอกจากนี้ผู้เลี้ยงควรจะต้องหมั่นสังเกตกระบอกน้ำ ว่ากระต่ายสามารถเลียหรือดูดน้ำได้หรือไม่ โดยดูดจากปริมาณน้ำที่ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นจุกน้ำอัตโนมัติ ผู้เลี้ยงต้องหมั่นสังเกตตลอดเวลา หากจุกน้ำรั่วหรืออุดตันก็อาจจะส่งผลเสียหรืออันตรายกับชีวิตน้อยๆเหล่านี้ได้
    สุดท้ายอยากฝากไว้ว่า สุขอนามัยของภาชนะอาหารและกระบอกน้ำ มีความสำคัญพอๆกันกับความสะอาดของอาหารที่ให้กระต่ายทาน
    หมายเหตุ ตัวเลขปริมาณอาหาร เป็นตัวเลขโดยประมาณ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามพฤติกรรมการกินของกระต่ายแต่ละตัว

    http://www.thairabbitclub.com/  

    กระต่าย ??




     





      การที่เราคิดจะเลือกเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสักอย่างหนึ่งนั้น สัตว์เลี้ยงแต่ละชนิดก็ย่อมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณาแตกต่างกันไป โดยเราจะต้องคิดถึงข้อดี ข้อด้อย ข้อจำกัดต่างๆ นอกเหนือจากเรื่องของความชอบส่วนบุคคลแล้ว แต่สำหรับการที่จะเลือกเลี้ยงกระต่ายเป็นเพื่อนนั้น คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า "กระต่ายเหมาะสมกับคุณ หรือ คุณเหมาะสมกับกระต่ายหรือไม่" คำถามนี้เป็นคำถามที่ เราจะต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน ยังไงลองพิจารณาบทความนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณ แล้วคุณจะรู้ว่า กระต่ายใช่คำตอบสุดท้ายที่ถูกต้องสำหรับคุณหรือไม่ ...
    เจ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยขนปุย จอมซุกซนนี้ สำหรับคนไทยนั้นยังถือว่าไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่สำหรับชาวต่างชาตินั้น โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา สัตว์เลี้ยงชนิดนี้กลับได้รับความนิยมอย่างมากมาย เพราะว่าเค้ามีความเชื่อที่ว่าเท้ากระต่าย (Rabbit Foot) เป็นสิ่งนำโชคสำหรับพวกเขา กระต่ายจึงกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่เหมือนกับว่าลึกลับสำหรับคนไทย อีกทั้งในประเทศไทยมีกระต่ายอยู่เพียงไม่กี่สายพันธุ์ การที่คุณจะเลือกกระต่ายสักตัวให้สวย น่ารัก และถูกใจจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย อีกทั้งการเลี้ยงกระต่ายก็มีข้อจำกัดในการเลี้ยงอยู่บ้าง ดังที่จะกล่าวต่อไป แต่ถ้าหากคุณกำลังมองหาเพื่อนที่รู้ใจ น่ารัก ขนปุย และที่สำคัญคือ ไม่ส่งเสียงดัง คำตอบที่เรานึกถึงก็คือ กระต่าย ลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้ก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณ

  • คุณมีเวลาอย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมงหรือไม่ 

  • เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเลี้ยงกระต่ายสักตัวหนึ่งแล้ว กิจวัตรประจำวันที่คุณต้องปฏิบัติให้กระต่ายนั้น ค่อนข้างจะต้องใช้เวลาพอสมควร ทั้งการให้อาหาร เปลี่ยนน้ำสะอาด ทำความสะอาดกรง สางขนสำหรับสายพันธุ์ขนยาว และที่สำคัญที่สุดคือการปล่อยให้กระต่ายได้วิ่งเล่นอย่างเป็นอิสระบ้าง ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการให้อิสระ ไม่ใช่การกักขัง

  • คุณมีสถานที่ที่เหมาะสมหรือไม่

  • สถานที่วางกรงสำหรับกระต่าย ควรเป็นที่ที่มีอากาศถ่ายเทตลอดทั้งวัน ไม่ร้อนจัด ลมไม่พัดแรง และต้องไม่ชื้นแฉะ เพราะกลิ่นฉี่ของกระต่ายค่อนข้างมีกลิ่นที่แรง ยิ่งถ้าผสมกับมูลด้วย ยิ่งไม่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก และอาจจะเป็นแหล่งที่เพาะเชื้อโรคเป็นอย่างดี ดังนั้นกระต่ายจึงไม่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงในบ้านหรือสถานที่ที่ปิดอับ ฉะนั้นคุณจึงต้องเตรียมสถานที่วางกรงให้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับกระต่าย

  • สัตว์เลี้ยงตัวเก่าของคุณพร้อมหรือไม่สำหรับเพื่อนใหม่

  • สำหรับบางคนที่เลี้ยงสุนัขหรือแมวอยู่แล้ว ต้องการเลี้ยงจะกระต่ายเพิ่ม สิ่งนี้คือสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากเป็นพิเศษ เนื่องจากธรรมชาติของสุนัขและแมว สัตว์เหล่านี้ที่มีสัญชาตญาณของการล่าเสมอ (นอกจากสุนัขบางสายพันธุ์ แต่แมวนี่คือศัตรูตัวฉกาจของกระต่ายเลย) และกระต่ายมักจะเป็นผู้ถูกล่าเสมอ เพราะฉะนั้น มันไม่เป็นการดีแน่ หากคุณมีสุนัขหรือแมวอยู่ก่อนแล้วในบ้าน เรื่องนี้มีวิธีแก้ไขหากคุณต้องการนำกระต่ายมาเลี้ยงเพิ่มจริง ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ คุณต้องพิจารณาว่าสุนัขและแมวของคุณ มีนิสัยอย่างไร และน่าจะเป็นอันตรายต่อกระต่ายหรือไม่ ถ้าหากเค้ามีนิสัยไม่ก้าวร้าวและเป็นมิตร การจะเลี้ยงกระต่ายเพิ่มขึ้นอีกสักตัว ก็ไม่เป็นไร ดังนั้น ก่อนทึ่คุณจะตัดสินใจเลือกกระต่ายมาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวของคุณ คุณต้องพิจารณาสัตว์เลี้ยงเดิมก่อนว่า เค้าจะยอมรับเพื่อนใหม่ขนปุยเข้ามาอยู่ด้วยกันในบ้านหรือไม่

  • กระต่ายและเด็กน้อยคือเพื่อนซี้กันจริงหรือ

  • แน่นอน เด็กน้อยน่ารักและกระต่ายน้อยเข้ากันได้อย่างดี เพราะกระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความอดทนในการจับ อุ้ม เป็นอย่างดี กระต่ายจะไม่ทำร้ายเด็ก ๆ อีกทั้งกระต่ายยังเหมาะสมที่จะใช้ฝึกเด็ก ๆ ให้รู้จักความรับผิดชอบ และทำให้จิตใจของเด็ก ๆ อ่อนโยน แต่ ... ข้อควรระวังสำหรับเด็กน้อยที่ไม่สามารถอุ้มกระต่ายได้อย่างถูกวิธีนั้นจะทำให้กระต่ายดิ้นหลุดมือ นั่นอาจทำให้กระต่ายได้รับอันตราย อีกทั้งสองขาหลังของกระต่ายนั้นเป็นขาที่ทรงพลังอย่างมหาศาล กระต่ายอาจจะดิ้นหรือถีบตัวเองออกจากการอุ้ม ทำให้เล็บอันแหลมคมจากขาหลังทำร้ายเด็ก ๆ ได้ และนี่คือสิ่งที่คุณต้องระมัดระวัง

  • นักทำลายและกัดแทะทุกสิ่ง

  • เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ากระต่าย คือ ยอดนักขุด และกัดแทะทุกสิ่งที่ขวางหน้า ดังนั้น พรม เฟอร์นิเจอร์สุดหรู สายไฟฟ้า สายโทรศัทพ์ สิ่งเหล่านี้อาจถูกทำลาย เสียหายได้ หากคุณไม่ได้เตรียมตัวป้องกันไว้ล่วงหน้า คุณยอมรับได้หรือไม่กับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในบ้านคุณ โดยไม่ได้ตั้งใจของน้องกระต่ายได้
    ถึงตรงนี้การเลี้ยงกระต่ายเริ่มไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดแล้วใช่ไหม คุณมีสิ่งที่คุณจะต้องปฏิบัติและคำนึงถึงมากมาย คุณพร้อมที่จะเสียเวลาให้กับกระต่ายในแต่ละวันแล้วหรือยัง คุณเตรียมการป้องกันความเป็นนักทำลายและกัดแทะของกระต่ายแล้วหรือ ชีวิตประจำวันของคุณจะต้องเปลี่ยนไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณต้องตัดสินใจตรงนี้ให้ได้ก่อนว่าคุณมีคุณสมบัติที่ดีเหมาะสมกับการเลี้ยงกระต่ายแล้วหรือยัง และ ถ้าคำตอบคือ ใช่ กระต่ายก็พร้อมและเหมาะสมสำหรับคุณเช่นกัน จากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของคุณแล้วละ ที่จะต้องอ่านบทความเพื่อรู้จักกระต่ายให้มากกว่านี้ ถ้าพร้อมแล้วก็อ่านบทความต่อไปได้เลย ... ลุย
    http://www.thairabbitclub.com/  

    ที่อยู่อาศัยเจ้ากระรอกน้อย

    ที่อยู่อาศัย

    nest2


    สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการเลี้ยงกระรอกคือรังนอนสำหรับกระรอก 
    การหารังนอนของกระรอกนั้นจำเป็นจะต้องหาที่ ๆ มิดชิด ปลอดภัย  รังนอนสำหรับกระรอกที่ดีนั้นคงรมีลักษณะเป็นไม้ มีความแข็งแรง ทนทานต่อการกัดแทะ และที่สำคัญควรจะมีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-2.5 ” เพื่อรับกับขนาดของลำตัว
    http://pets.thaipetonline.com/ที่อยู่อาศัย.html

    เรื่องน่ารู้หากคุณคิดจะเลี้ยงกระรอก


    ข้อควรรู้

    r_2066[1]
    1. รังนอน
    กระรอกชอบนอนที่มืดๆ และให้ความอบอุ่นได้ดี ในธรรมชาติกระรอกมักสร้างรังตามโพรงต้นไม้หรือในลูกมะพร้าว ดังนั้นเราควรหากล่อง ผ้า หรือรัง ที่สามารถให้กระรอกแอบได้กระรอกไม่ชอบที่แจ้ง และอาจระแวงได้ง่าย
    2. อาหาร
    การให้อาหารอาจให้ทั้งวัน อาจให้ผลไม้สด หรือธัญพืชต่างๆ ในปัจจุบันด้วยความรีบเร่ง และหาซื้อผลไม้สดได้ยากมากขึ้น อาหารแห้งบางประเภทจึงเข้ามาแทนที่ ซึ่งการให้อาหารแห้งนั้นต้องฝึกตั้งแต่กระรอกยังอายุน้อยๆ ให้ชินกับการกินอาหารประเภทนี้ไม่สามารถฝึกตอนโตได้
    3. น้ำ
    สัตว์ทุกชนิดต้องการน้ำ ในธรรมชาติแม้ว่ากระรอกไม่อาจกินน้ำตามบ่อ หรือคลอง แต่กระรอกได้น้ำจากผลไม้ที่กิน และน้ำค้างยามเช้า เราควรมีขวดน้ำเล็กๆติดกรงไว้สำหรับกระรอกโดยเฉพาะกระรอกที่กินอาหารแห้งควรมีน้ำสะอาดไว้เสมอ
    4. นิสัยชอบแทะของกระรอก
    กระรอกกับการแทะเป็นของู่กัน เพราะกระรอกเป็นสัตว์ฟันแทะ นิสัยส่วนใหญ่จะแทะ ๆๆ และแทะหากกระรอกไม่ได้แทะจะทำให้ฟันยาว ไม่จำเป็นที่จะต้องตัดฟันกระรอกเพราะไม่ช่วยให้กระรอกเลิกนิสัยแทะ ควรหาไม้แข็งๆ ไว้ให้กระรอกแทะจะดีกว่า
    5. การตัดฟัน
    เป็นคำถามยอดฮิต ว่าตัดฟันแล้วกระรอกจะไม่กัด เป็นความคิดที่ผิดกระรอกจะไม่กัดคนให้อาหาร หรือเจ้าของที่เลี้ยงดู ถึงจะตัดฟัน อาจไม่กัดในช่วงสั้นๆ พอฟันขึ้นก็กัดเหมือนเดิมการตัดฟันอันตรายต่อกระรอกมาก โดยเฉพาะฟันล่าง หากตัดมากไปกระรอกเล็กตายภายใน 3-5 วัน กระรอกโต ตายใน 7-10 วัน ใช้ความเข้าใจดูแลเค้าจะดีกว่าค่ะ
    6. การเป็นสัด
    กระรอกแต่ละสายพันธุ์จะมีช่วงอายุการเป็นสัดต่างกัน และช่วงฤดูก็ต่างกันนิสัยช่วงเป็นสัด ตัวเมียจะดุมากกว่าตัวผู้ แต่แม้ว่าจะเป็นสัดกระรอกจะไม่กัดเจ้าของหากถูกเลี้ยงมาดีพอ และจะกลับเป็นเช่นเดิมเมื่อายุประมาณ 2 สัปดาห์กระรอกช่วงเป็นสัดจะขี้หงุดหงิด และดุร้ายกว่าช่วงปกติ ไม่ควให้คนไม่รู้จักมาแหย่หรือรังแกกระรอกโดยไม่จำเป็นเพราะอาจถูกกัดได้
    7. การอาบน้ำ
    ลูกกระรอกไม่จำเป็นต้องอาบน้ำ อาจใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวก็เพียงพอยกเว้นตัวเนียวมาก อาจอาบน้ำให้ลูกกระรอก อย่าให้น้ำเข้าหูและจมูกจากนั้นเช็ดตัว และใช้ไดท์เป่าตัวให้แห้ง ย้ำแห้ง หากตัวชื้นลูกกระรอกอาจเป็นหวัดค่ะส่วนกระรอกโต อาจอาบน้ำเมื่อตัวสกปรก การอาบน้ำเหมือนกระรอกเล็กคืออย่าให้น้ำเข้าหูและจมูก เช็ดตัว และใช้ไดท์เป่าให้แห้ง
    8. การใส่โซ่
    ควรใส่โซ่ตั้งแต่กระรอกอายุน้อยๆ เพราะลูกกระรอกจะยอมใส่ได้ง่าย และชินกับการใส่โซ่ได้ง่ายกว่า เมื่อกระรอกโตขึ้นจึงค่อยเปลี่ยนโซ่เพื่อให้พอดีกับขนาดคอของกระรอก ส่วนใหญ่กระรอกที่ไม่เคยใส่โซ่เลยจนถึงโต จะไม่ยอมใส่โซ่ และแสดงทีท่ารำคาญเมื่อถูกใส่โซ่สำหรับกระรอกขนาดกลางขึ้นไปควรใช้โซ่สเตนเลส หรือโซ่ทองแดงเคลือบเพราะทนต่อการกระตุกมากกว่า โซ่กระรอกสีทั่วไปไม่สาสมารถต้านทานแรงกระตุกของกระรอกได้หรือขาดเมื่อกระรอกกัดแทะ
    ที่มา :http://pets.thaipetonline.com/จากสมาชิก nickname0022
    ที่มารูป : www.google.com

    คิดก่อนเลี้ยงชูการ์

    คิดก่อนเลี้ยงชูการ์ (ข้อดี/ข้อเสีย)

    มาดูข้อดีกัน
    - เป็นสัตว์ที่ชอบเช้าสังคมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มนั้นรวมถึงอยู่รวมกับเจ้าของด้วย ชูการ์ จะจำทั้งกลิ่นและเสียงของเจ้าของได้ดีทีเดียว

    .
    - เมื่อคุ้นกับคุณแล้วจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับเจ้าของ จะไม่กัด และไม่ขู่ หรือ เรียกว่้าเชื่องนั่นเอง

    .
    - ชูก้าร์ เป็นสัตว์ที่ชอบซุกตัว ขดตัวอยู่ในที่แคบซึ่งดีที่สุดน่าจะเป็นกระเป๋า ถุงนอน
    ชูการ์ มีวงจรชีวิตค่อนข้างยาว ถ้าเจ้าของดูแล รัก เอาใจใส่ ชูการ์ เป็นอย่างดี เค้าจะอยู่กับเรานานกว่าสัตว์เลี้ยงอีกหลายชนิด

    .เมื่อมีข้อดีกันแล้วก็ดูข้อเสียบ้าง
    - ชูการ์ ไม่สามารถจะถูกฝึกให้ขับถ่ายเป็นที่ แล้วเค้ายังจะวิ่งไปทำเครื่องหมายไปทั่ว (คล้ายกับฉี่ จะเห็นชัดในชูการ์ตัวผู้) ต้องคอยตามเช็ด อาจจะสร้างความรำคาญและเบื่อหน่ายกับเจ้าของได้

    .
    - ชูการ์ มีอายุยืนยาวประมาณ 10-15 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น ฉะนั้นถ้าคิดจะเริ่มเลี้ยงแล้วตัดสินใจเลิกกลางคันจะเป็นการทำร้ายจิตใจของ เค้า เป็นอย่างมากเพราะเค้าเป็นสัตว์ที่รักเจ้าของและก็รักคนเดียวเท่านั้น ซึ่ง การโยกย้ายทั้งที่อยู่และเจ้าของเป็นความเหนื่อยยากและเป็นความเครียดที่ฝังใจ ชูการ์ และมีผลต่อนิสัยการแสดงออกของชูก้าร์ด้วย เคยมีบันทึกเกี่ยวกับ ชูการ์ ที่ตรอมใจตายเนื่องจากการเปลี่ยนเจ้าของ

    340_06_06_09_6_11_28
    .
    - ชูการ์ เป็นสัตว์กลางคืน ถ้าไม่พร้อมที่จะถ่างตาอยู่รอเล่นกับเค้าในเวลาที่เค้าตื่น ถ้าคุณนอนดึกไม่ได้ก็เปลี่ยนใจไปเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่น เพราะตอนกลางคืนเค้าจะร้องเรียกเจ้าของออกมาเล่นด้วยเป็นประจำ

    - ชูการ์จะเปล่งเสียงออกมาคล้าย ๆ กับลูกสุนัขเห่า หรือ เรียกว่า กา่รเห่านั่นเอง  ในช่วงเวลาที่เรากำลังหลับสบาย แต่ชูการ์เค้าไม่ได้หลับกับเราด้วย ช่วงประมาณ ตี 1-3 จะเป็นช่วงเวลาที่เค้าคึกมากที่สุด อาจจะมีการเล่นเสียงดังหรือ ส่งเสียงดัง หรือ เห่า เรีัยก ถ้าไม่สามารถอดทนสำหรับข้อนี้ได้ก็ไม่ควรเลี้ยง เพราะห้ามและฝึกไม่ได้
    .
    - ชูการ์ ชอบกินแมลงหากไม่สามารถจับหนอน จิ้งหรีด แมลงปีกแข็งอื่น ต้องเปลี่ยนใจไปเลี้ยงอย่างอื่นแทน เพราะแมลงเหล่านี้เป็นแหล่งพลังงาน โปรตีนที่เป็นมากที่สุดสำหรับชูการ์

    - ชูการ์ เป็นสัตว์ที่เอาแต่ใจ ไม่ชอบการบังคับ ห้ามก็ไม่ฟัง พูดก็ไม่รู้เรื่อง ถ้าขัดใจหล่ะก็เป็นกัดแน่นอน
    .
    - ชูการ์ มีกระดูกที่บางและเล็ก ฉะนั้น เค้าจึงไม่ชอบที่จะถูกกอดหรือจับต้องแรง ๆ ฉะนั้น ไม่แนะนำสัตว์เลี้ยงประเภทนี้ให้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีค่ะ

    - ชูการ์เป็นสัตว์ที่มีกลิ่นแรง โดยเฉพาะตัวผู้ เค้าจะต้องใช้กลิ่นในการสร้างอาณาเขต คนที่คิดจะเลี้ยงจะต้องทบทวนดูให้ดีว่าจะรับข้อเสียเค้าได้หรือไม่
    .


    เรียบเรียงโดย : www.thaipetonline.com  

    การเลี้ยงดูชูการ์

    อาหาร
    อาหารหลักๆของเจ้าชูการ์ไกรเดอร์ควรจะให้ ซีรีแลค (อาหารเสริมเด็กอ่อน) มีขายตามซุปเปอร์มารเก็ดทั่วไป หรือถ้าจะให้สะดวกก็ที่เซเว่นอีเล่เว่น อาหารหมาก็ให้ได้เพื่อความสะดวก หรือจะเป็นผักผลไม้ โดยเฉพาะองุ่นดำเนี่ยชอบมากๆ ส่วนอาหารเสริมก็เป็นพวกหนอนนก จิ้งหรีด แต่ไม่ควรให้บ่อยจนเกินไป


    กรงและที่อยู่อาศัยของชูการ์



    ที่อยู่อาศัยเพื่อให้มีพื้นที่ในการออกกำลังกาย กรงที่มีขนาดเล็กมากที่สุด ควรมีขนาด 96×31x91 cm. เพื่อให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุดครับ และรอบกรงควรเป็นตาข่าย สามารถระบายอากาศได้ดี
    .
    13042008(003)
    .
    ในกรงควรประกอบด้่วย ถ้วยอาหาร ขวดน้ำ ลัง กล่อง หรือ บ้าน ไว้สำหรับหลบอาศัยที่ให้ความรู้สึกที่ปลอดภัย ควรแขวนไว้ที่สูง และควรอยู่ในที่ประจำ ทำความสะอาดและเปลี่ยนที่รองนอนทุก 1-2 สัปดาห์ หรืออาจมากกว่านั้น และในกรงควรจะมีขอนไม้ หรือ กิ่งไม้ สำหรับปืนป่าย และยังช่วยในการลับฟันเค้าได้อีกด้วย ขอนไม้ควรจะมีลักษณะ เป็นของจริงจากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี หรือ สารตกค้างใด ๆ ให้นำกิ่งไม้มาล้างให้สะอาดและนำไปตากแดดให้แห้ง จึงนำมาใส่เข้ากรง

    .
    อุณหภูมิ สำหรับชูการ์ โดยปกติแล้ว ชูการ์ไกรเดอร์จะไม่ชอบอากาศที่หนาวสักเท่าไหร่นักครับ ซึ่งอากาศในประเทศไทย ถือว่าเหมาะสมในการเลี้ยง เจ้าชูการ์ได้อย่างสบายครับ ถ้าให้แนะนำสำหรับผมคิดว่าควรให้เขาอยู่ได้เหมือนคนอยู่ครับ ก็คือที่ใหนอุณหภูมิเราอยู่ได้ไม่ร้อนเกินไป เจ้าชูการ์ก็สามารถอยู่ได้เช่นกันครับ และ ก็อย่าเย็นมากไปนะครับ เค้าอาจจะตายเพราะอากาศหนาวได้ครับ
    ซึ่งจากข้อมูลที่มี เจ้าชูการ์ จะชอบ 
    อุณหภูมิประมาณ 18-31 องศาเซลเซียส ครับ แต่อย่างไรผมว่าอย่าให้ถึง 18 เลยนะคับ ผมว่าคงหนาวไปหละครับ


    อุณหภูมิ
    เจ้าชูการ์เนี่ยไม่ชอบอากาศหนาวเท่าไรนัก ในอเมริกาเมื่อถึงหน้าหนาวเจ้าของจะต้องมีฮีทเตอร์ติดเอาไว้ใต้กรงเพื่อให้ความอบอุ่น มันชอบอุณหภูมิประมาณ 18-31 องศาเซลเซียส สำหรับอากาศเมืองไทยเจ้าชูการ์อยู่ได้สบาย

    การดูเพศ
    ถ้าเป็นเพศเมียเราสามารถสังเกต ง่ายๆครับ โดยที่ว่า ตัวเมีย จะมีถุงหน้าท้องเหมือนจิงโจ้ แต่ถ้าเป็นเพศผู้อวัยวะสืบพันธุ์จะอยู่ห่างจากทวารประมาณ ครึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้วแล้วแต่ขนาดตัวคล้ายๆ กับการ ดูเพศของ หนูแฮมสเตอร์ และเม่นแคระ เลยครับ







    ระยะเวลาตั้งท้อง
    ชูการ์ไกรเดอร์เป็นสัตว์ที่มีระยะเวลาตั้งท้องแค่ 16 วันเท่านั้นพวกมันผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ให้ลูก1-3 ตัว แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะให้1-2 ตัวเท่านั้น แรกเกิดจะมีน้ำหนักแค่0.19 กรัม ไม่มีขน หลังจาก ลูกชูการ์ไกรเดอร์คลอดออกมาแล้วมันจะคลานกลับเข้าไปอยู่ในถุงหน้าท้องของแม่ ซึ่งภายในจะมีเต้านมอยู่ 2 เต้า สำหรับเจ้าชูการ์น้อย และมันจะอยู่ในนั้นอีกประมาณ 2 เดือน หลังจาก 2 เดือน เจ้าชูการ์น้อยก็จะเข้าๆออกๆจากถุงหน้าท้องของแม่ และใช้เวลาอีกประมาณ 2 อาทิตย์ก็จะลืมตาและสามารถแยกออกจากแม่ของเค้าได้



    ขอขอบคุณข้อมูลจาก: http://www.ppao.go.th/sugarglider/suga1.htm
                                       http://pets.thaipetonline.com/pet-care/sugar-glider

    ทำความรู้จักกับ :: ชูการ์ไกรเดอร์

    จิงโจ้บิน

    มาทำความรู้จักชูการ์ไกรเดอร์กันก่อน Sugar Glider




    SCIENTIFIC NAME
    ชื่อทางวิทยาศาสตร์

    Petaurus Breviceps

    COMMON NAME
    ชื่อสามัญ

    Sugar Glider

    SIZE
    ขนาด

    โตเต็มที่วัยจากจมูกถึงหางก็ประมาณ11นิ้ว

    WEIGHT
    น้ำหนัก

    แรกเกิดจะหนักประมาณ 0.19 กรัม

    GESTATION
    ระยะเวลาตั้งท้อง

    ระยะเวลาตั้งท้อง: 16 วัน

    LIFE SPAN
    อายุขัย

    15 ปี

    DIET
    อาหาร

    ซีรีแลค หนอนนก จิ้งหรีด ผักผลไม้

    RANGE
    ถิ่นกำเนิด

    ออสเตรเลีย นิวกินี อินโดนีเซีย

            

    ชูการ์ไกรเดอร์หรือที่เมืองไทยเรียกกันว่า กระรอกบินออสเตรเลียเป็นสัตว์ประเภทกระรอกบินจัดอยู่ในตระกูลจิงโจ้ (marsupials) เพราะชูการ์ไกรเดอร์เพศเมียจะมีถุงหน้าท้อง (pouch) เหมือนเจ้าจิงโจ้ พวกมันเป็นสัตว์ตื่นกลางคืนนอนกลางวัน (nocturna) และจะเปรียวมากในตอนดึก ตามธรรมชาติชูการ์ไกรเดอร์จะอาศัยอยู่บนต้นไม้ ดังนั้นธรรมชาติจึงสร้าง กรงเล็บอันแหลมคมให้มันเพื่อใช้เกาะเวลามันกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง แต่เพื่อนๆที่คิดจะเลี้ยงไม่ต้องกลัวว่าเล็บของมันจะจิกเนื้อเรา เพราะว่าเราสามารถจับมันตัดเล็บได้ แต่เพื่อนๆต้องระวังเวลาตัดหน่อยนะเพราะมันเป็นสัตว์ที่ไม่อยู่นิ่ง ส่วนหางของมัน จะทำหน้าที่เป็นเหมือนหางเสือเรือที่ไว้ใช้บังคับทิศทาง คนส่วนมากมักเข้าใจว่า เจ้าชูการ์ไกรเดอร์บินได้เพราะเรียกมันว่ากระรอกบิน แต่จริงๆมันบินไม่ได้ แต่มันจะร่อนจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเท่านั้นเอง ในอเมริกานิยมเลี้ยงชูการ์ไกรเดอร์เป็นสัตว์เลี้ยงเอามากๆ พวกมันมีอยู่ประมาณเกือบ 10 สี แต่ในเมืองไทยตอนนี้มีแค่สีเดียวคือลีเทา ขนเจ้าชูการ์ไกรเดอร์เนี่ยจะนุ่มมากๆ ข้างลำตัวของมันจะมีพังพืด (patagium) ซึ่งสามารถกางได้จากขาหน้าไปถึงขาหลัง เพื่อลู้ลมเวลามันร่อน


    โรคของน้องเหมียว

    โรคของแมว
    แมวผม 2 ตัวชอบกินเศษอาหาร ขนาดขึ้นราแล้วก็กิน หลังจากนั้นกระเพาะมันก็ติดเชื้อตายไปหนึ่งตัว ตัวที่ 2 เพิ่งจะเริ่มเป็นโรคทีหลังเพราะไม่ตะกละเหมือนตัวแรก ผมรีบพามันไปหาหมอ หมอฉีดยา 3 เข็ม เก็บเงิน 200 บาท แล้วให้พามันมาอีกหลังจากนั้น 3 วัน และฉีดยาอีกครั้ง พร้อมทั้งรับยากินมาให้มันกินอีก 2 สัปดาห์มันจึงหายเป็นปรกติ หมอบอกว่าถ้าพามาเร็วก็มีโอกาสหาย แต่ถ้าปล่อยให้เป็นหนักแล้วพามา จะรอดยาก ดังนั้น หากแมวป่วยควรรีบพาไปหาหมอตั้งแต่วันแรกเลย
    โรคหวัดที่เกิดในแมว หากเป็นแมวเด็กหรือแมวผู้ใหญ่ที่อ่อนแอจะมีโอกาสตายสูง หากเราปล่อยให้มันหายเองไม่พาไปหาหมอ ส่วนใหญ่อาการจะหนักขึ้นและตายในที่สุด ไม่มีคำว่าหายเองตามธรรมชาติ (จากวันที่สังเกตุเห็นว่ามันเป็นหวัด จนถึงวันที่มันตายเพียง 3 วันเท่านั้น) แต่ถ้าเป็นแมวอ้วนกินเก่งถึงเป็นหวัดก็ยังกินเก่งเราให้มันกินหญ้ามันก็หายเองได้
    สรุปว่า หากพบว่าแมวเป็นหวัด ไม่กินอาหาร ควรรีบพาไปหาสัตวแพทย์ อย่าปล่อยไว้นาน เพราะโรคหวัดแมว ตายเร็ว
    หากแมวที่เป็นหวัดมีขี้ตามากหรือมีหนองจากตาจนลืมตาไม่ได้ ควรหมั่นเช็ดหนองออกจากตาและจมูก และควรพาไปหาสัตวแพทย์
    อาหารสำหรับแมวท้องเสีย คือ ตับไก่ปิ้ง (อันนี้ ไม่แน่ใจ)
    ควรให้แมวกินอาหารให้ตรงเวลา ถ้าแมวอดอาหาร มันจะไม่แข็งแรง และเป็นโรคได้ง่าย
    อย่าให้แมวกินข้าวบูด ควรให้แมวกินข้าวที่คนกินได้ ผมมีประสบการณ์จะเล่าให้ฟัง
    แมวเด็กตัวเล็ก ผมเผลอให้มันกินข้าวบูด หลังจากนั้น มันก็นอนซม ไม่กินข้าว มีน้ำเยิ้มออกจากก้น 2 วัน มันก็ตาย (เป็นอาหารเป็นพิษ ถ้าพาไปหาหมอตั้งแต่วันแรก หมอจะรักษาได้)
    เย็นวันหนึ่ง ผมนั่งกินขนมเจ เป็นแป้งทอด ผมก็เลยแบ่งให้แมวกินด้วย 1 ชิ้น วันรุ่งขึ้น มันก็นอนซม มีน้ำเยิ้มที่ก้นเหมือนกัน ผมจึงรีบพาไปหาหมอ หมอบอกว่าอาหารเป็นพิษ รักษาอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ แมวตัวนั้นก็หายเป็นปรกติ
    ปรกติแมวตัวหลังนี้จะชอบจับหนูแล้วกินหนูด้วย แต่ไม่เคยอาหารเป็นพิษ แต่พอผมเอาขนมแป้งทอดให้กิน มันกลับเป็นอาหารเป็นพิษ ทั้งๆที่ผมก็กินกับมัน
    ฯลฯ
    การรบกวนจากแมว
    แมวบางตัวอาจทำให้เพื่อนบ้านรำคาญได้ ตอนกลางคืนควรขังในกรง
    อย่าให้แมวสกปรกอยู่ในบ้าน เพราะหากท่านนอนหลับ เวลาตื่นขึ้นมาอาจพบว่า แมวนอนอยู่บนหน้าของท่าน หรือกำลังเลียหน้าของท่าน ทำให้ท่านเป็นโรคได้
    หลังจากจับแมว ไม่ควรจับภาชนะบรรจุอาหารหรือน้ำ หรือสิ่งที่ต้องจับบ่อยๆ เช่น รีโมท และควรล้างมือก่อนกินข้าว เพื่อป้องกันอาหารเป็นพิษ
    นิสัยแมว
    แมวเป็นสัตว์ที่มีความต้องการ อย่างบ้านผมจะมีรูเล็กๆบนชั้น 2 และแมวจะชอบมุดรูนั้นเข้ามาในบ้าน รูนั้นมุดยากมาก เพราะต้องปีนขึ้นหลังคา แล้วโหนมาตามคาน แล้วจึงมุดรูเข้ามา โดยแมวจะต้องรีดตัวเองเพื่อมุดรูเข้ามา ปัจจุบันแมวตัวนั้นตายแล้ว เพราะเส้นเอนเสีย เนื่องจากมุดเข้ามาบ่อย
    เราคิดไปเองว่า ถ้ามันเจ็บเดี๋ยวมันก็เลิกมุดเอง แต่เนื่องจากมันอยากเข้าบ้าน มันก็จะมุดเข้ามาเรื่อย จนกระทั่งมันเส้นเสีย และตายเพราะขยับตัวไม่ได้ จึงทำให้เราคิดว่า แมวมันไม่รู้จักคาดการณ์ว่าอะไรเป็นอันตรายสำหรับมัน เราซึ่งเป็นคนเลี้ยงจะต้องคอยดูแลว่ามันทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อตัวมันเองหรือเปล่า และพยายามอย่าให้มันทำอย่างนั้น
    ในกรณีนี้ ผมควรอุดรูนั้น เพื่อให้มันไม่มุดเข้ามาอีก
    การป้อนยาแมว
    ยาเม็ด
    วิธีที่ 1 - แบ่งเป็น 4 ส่วนเล็กๆ แล้วยัดไว้ในตับไก่ย่าง แล้วปล่อยให้แมวกินตับไก่เอง
    วิธีที่ 2 - ต้มน้ำเดือดละลายน้ำตาลให้เป็นน้ำข้นๆ ประมาณ 1 ช้อน แล้วบดยาเม็ดละลายลงไปในช้อน คนให้เข้ากัน แล้วเอานิ้วจิ้ม ไปป้ายปากแมว แมวจะเลียเองโดยธรรมชาติ
    ยาแค็ปซูล - แกะแค็ปซูลออกแล้วทำตามวิธีที่ 2
    ยาผง - ทำตามวิธีที่ 2
    ยาน้ำ - ถ้าใช้หลอดฉีดยาฉีดเข้าปากมันไม่ได้ ก็ค่อยๆเอานิ้วจิ้มยาไปป้ายปากมัน
    การพาแมวไปหาหมอ
    เดี๋ยวนี้ไม่ต้องลำบากแล้ว เพราะสามารถหาซื้อตระกร้าใบใหญ่ๆที่มีฝาปิดล๊อคได้แล้ว โดยตะกร้านี้มีรูตลอดทุกด้าน ทำให้แมวมีอากาศหายใจ หาซื้อได้ตามห้างใกล้บ้าน


    บทความจากhttp://www.palthai.com/member/cat.htm